Nikon D800E + 14-24mm ,24-70mm ,70-200mm
“เฮ่ยแม่มที่ไหนวะ….”
เป็นความคิดของผมหลังจากได้เห็นภาพจากชาวต่างชาติที่แชร์กันตามโซเชียลมีเดีย ยิ่งกว่านั้นเห็นกระทู้ในพันทิปที่มีคนเพิ่งไปมา ยิ่งย้ำความอยากของผมให้มันทวีคูณเข้าไปอีกไม่รอช้าครับ รีบจัดแจงหาข้อมูลและจองตั๋วเครื่องบินโดยไว ก่ะว่าจะไปช่วงวันหยุดยาวปลายปีเลย
How to get to Larung gar
ผมเดินทางไปเฉิงตูโดยสายการบิน Orient Thai (ซึ่งคิดผิดมากๆ ไม่ยอมเชื่อกระทู้บ่นสายการบินนี้) ผมโดนไฟล์ทดีเลย์ทั้งขาไปและขากลับเลยครับ ขาไปไฟล์ทดีเลย์ไป12ชั่วโมง(อย่าเรียกว่าดีเลย์เลยดีกว่า เปลี่ยนไฟล์ทบินไปเลยเหอะ) ขากลับนี่โดนไป10ชั่วโมง โดยขาไปสายการบินได้ชดเชยโดยการออกค่าแทกซี่ไปกลับให้ผมกลับไปนอนบ้าน ส่วนขากลับสายการบินพยายามหาโรงแรมให้ผม แต่ผมขอนอนสนามบินดีกว่า
โดยการเดินทางไป Larung gar ของผมจากสนามบินสรุปคร่าวๆได้ประมาณนี้ครับChengdu Airport -> Xinnanmen Bus Station (新南门长途汽车站) ผมเดินทางโดยใช้ Airport Shuttle Bus No.1 ครับ ขึ้นได้ตรงทางออกจาก Terminal เลยครับ ใช้เวลาประมาณ20นาทีXinnanmen Bus Station (新南门长途汽车站) -> Kangding (康定) ปกติจะมีบัสออกช่วง6โมงเช้า ถึงราวๆ9โมงครับใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 ชั่วโมง ราคาประมาณ120-130 หยวน แต่กรณีผม ผมไปถึงก็ราวๆบ่าย2แล้ว พอดีได้ยินเจ๊คนหนึ่งยืนอยู่หน้าสถานีตะโกนว่า Kangding เลยลองเข้าไปสอบถามดู ได้ความว่าเป็นรถ Mini Van ไป Kangding เหมือนกัน ราคา 150 หยวนครับ เลยตัดสินใจนั่งไป แต่รถมันต้องรอผู้โดยสารให้ครบก่อนนะครับถึงจะออก ซึ่งผมเป็นคนสุดท้ายพอดี เลยไม่ต้องรอนาน ใช้เวลาประมาณ 6- 7 ชั่วโมง จะเร็วกว่าบัสนิดนึงครับKangding -> Sertar รถบัสไปเชอต๋าจะมีรอบ 6โมงเข้า รอบเดียวครับ ถ้าคืนก่อนหน้าเรามาถึง Kangding เร็ว แนะนำมาจองตั๋วไว้ก่อนก็ดีครับ แต่ของผมถึง Kangding ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว ซึ่งสถานีปิดไปเรียบร้อย เลยต้องมาซื้อตอนเช้าเอาครับ
มาถึงตรงนี้ผมเลือกจะลงที่ Larung gar เลย เนื่องจากดูจากแผนที่แล้ว มันจะผ่าน Larung Gar ก่อนถึงเมือง Sertar ครับ เลยขอคนขับเค้าลงก่อนพร้อมกับเพื่อนๆชาวจีนคนอื่นที่ได้รู้จักกันบนรถเนี่ยแหละครับ
ส่วนขากลับผมกับเพื่อนชาวจีนหารกันเหมา Mini Van กลับเฉิงตูรวดเดียวเลยครับ ใช้เวลาประมาณ16 ชั่วโมง นั่งกันทรหดมาก
โรงแรมที่ Larung gar มีแห่งเดียวครับ ที่เหลือจะเป็น guest house ซะมากกว่า ซึ่งผมก็แนะนำให้พักโรงแรมด
ราคา
ห้องเตียงคู่ห้องละ 180 หยวน
ห้องรวม4คน จะตกคืนละ45หยวน/คน
เท่าที่ผมทราบที่นี่ไม่สามา
Set one: (mobile)13568697664 / (Landline)0836-8525165 / 0836-8526669
Set two: (mobile)13699042889
Larung gar Atmosphere
หลังจากลงรถ ผมต้องเดินไปเช็คอินที่โรงแรม ซึ่งไอโรงแรมที่ว่านี่ซะอยู่เกือบยอดเขาเลยครับ ช่วงแรกๆร่างกายยังไม่ค่อยปรับตัว เล่นเอาหอบแฮ่กเหมือนกัน แต่จะดีตรงที่เราเดินไปจุดชมวิวจะเดินไม่เยอะมากครับ แต่ก็เหนื่อยอยู่(มาก = =; )
ก่อนตะวันจะลับขอบฟ้า ผมพยายามหาจุดสำหรับถ่ายแสงเย็น
โดยก่อนหน้านี้ผมเองก็หาข้อมูลมา แต่ไม่เจอรูปตอนแสงเย็นเลยครับ ทำให้ต้องลองเดินหาเอง
จุดนี้ต้องเดินผ่ากลางหมู่บ้าน เพื่อขึ้นไปบนเขาอีกลูกครับ จากมุมนี้จะเห็น ธงมนตราห้าสีที่อยู่ปลายยอดบนภูเขาด้วยครับ
ไรหมอกกระทบแสงยามเย็นลอยเหนือหมู่บ้าน รวมกับหมู่บ้านที่ตั้งเรียงรายตามสันของภูเขา ทำเอาผมแทบลืมกดชัตเตอร์เลยครับ สวยมากจริงๆ
ถึงแม้จะไม่มีการสำรวจที่แน่นอน แต่ที่ Larung gar มีประชากรอาศัยอยู่ราวๆ 40,000 คน
ซึ่งกว่า90%เป็นนักบวช(แหงล่ะ) บางที่บอกประมาณ 10,000 คน แต่ผมได้คุยได้พนักงานที่โรงแรม
เค้าบอกว่า อย่างน้อย 40,000 แน่นอน เผลอๆอาจจะมากกว่านี้อีก
บ้านส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้กึ่งปูน ทาด้วยสีแดงเหมือนสีของจีวร ซึ่งที่สีจีวรเป็นสีแดง ไมโก้ เพื่อนชาวฮ่องกงที่เจอกันในทริปบอกว่า ด้วยลักษณะภูมิประเทศ ทำให้จีวรต้องเป็นสีแดง จะได้มองเห็นให้ในระยะไกล
People
ที่ Larung gar นั้น เท่าที่ผมสังเกตจะเจอผู้คนอยู่สามกลุ่ม
ลามะ และ เก๋อหมู่(นักบวชเพศหญิง) – แหงล่ะ นี่มันหนึ่งในสถาบันพระสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เราจะเจอได้ทั่วทุกตารางเมตรของที่นี่เลยทีเดียว
ชาวทิเบต – นอกจากนักบวชแล้ว ชาวทิเบตที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนามักจะมาทำบุญ สวดมนต์ที่นี่กันเป็นประจำ
และคนกลุ่มสุดท้ายที่เราเจอ แน่นอนก็ต้องเป็นนักท่องเที่ยวอย่างเราๆเนี่ยแหละครับ ที่เข้าไปเยือน Larung gar
Life in Larung gar
ชาวทิเบตที่มาแสวงบุญที่ larung gar ส่วนใหญ่มักจะมาสวดมนต์อธิฐาน
โดยจะเดินวนรอบวัดและจะใช้มือหมุนกงล้อที่ติดอยู่ข้างๆและสวดมนต์ไปพร้อมๆกัน
หรือจะโค้งคำนับตรงลานด้านหน้าเหมือนสาวน้อยชาวทิเบตคนนี้ก็ได้ครับ
三步一跪拜 ( sanbuyiguibai ) คือการแสดงความศรัทธาอีกรูปแบบหนึ่ง โดยจะต้องเดินสามก้าว
จากนั้นจะนอนลงแล้วกราบ โดยจะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ โดยผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าต้องวนกี่รอบ
เพราะตอนเช้ามาก็เห็นเค้าทำ ตอนเย็นผ่านไปก็ยังเห็นคนเดิมทำอยู่เลยครับ
การศึกษาพระธรรมหรือสวดมนต์ของพระมักผมได้ทุกที่ครับ ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผมไปช่วงฤดูหนาว ผมจึงมักจะเห็นพระออกมานั่งตากแดด นั่งอ่านหนังสือหรือสวดมนต์บ่อยๆครับ
屍陀林 (shituolin)
เป็นอีกสถานที่ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ larung gar เห็นเพื่อนชาวฮ่องกงบอกว่าเป็นสถานที่ที่เอาไว้ประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า 天葬 tianzang
ซึ่งพิธีกรรมที่ว่านี้เค้าจะเอาศพจากหมู่บ้านต่างๆมาให้ฝูงแร้งกิน ด้วยความเชื่อที่ว่าฝูงแร้งจะนำวิญญาณของผู้ตายกลับไปสู่สวรรค์
หลังจากนั้นจะเอาหัวกระโหลกที่เหลือมาไว้ในโดม(แต่ตอนนี้ที่โดมมีแต่ของปลอมแล้วนะครับ)
ทางขึ้น shituolin จะเป็นบันไดรูปครึ่งวงกลม โดยเค้าจะไม่เดินขึ้นตรงๆนะครับ แต่จะเดินเรียงขึ้นทีละชั้น ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันครับ
นอกจากนี้บริเวณใกล้ๆจะมีภูเขาที่ฝูงแร้งจะมารอเพื่อกินศพอีกด้วยครับ ผมเลยลองเดินขึ้นไปใกล้ๆดู
ไม่รู้เพราะว่าไม่กลัวคน หรือรอกินศพนะครับ แร้งเลยไม่ค่อยมีปฎิกิริยากับผมซักเท่าไหร่
Thanks
สุดท้ายนี้ผมอยากพูดถึงมิตรภาพที่เจอระหว่างทางสักหน่อยครับ
เพราะผมเดินทางมาคนเดียว ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้เจอมิตรภาพมากมายขนาดนี้
ไมโก้ – ชาวฮ่องกง ผู้ที่แชร์ค่าห้องกับผม บอกเลยว่าทริปเกือบทั้งหมด จุดทุกจุดที่ไปถ่ายล้วนแต่มีไมโก้ที่ช่วยกันเดินตามหา ไมโก้ยังเป็นทั้งล่ามให้ผมเวลาสื่อสารกับคนท้องถิ่นและเพื่อนๆคนอื่นด้วยครับ ถ้าทริปนี้ไม่ได้ไมโก้ ผมคงลำบากเหมือนกัน
เสื้อกันหนาวสีเหลืองและฟ้า – เคยพยายามถามชื่อหลายรอบ แต่ชื่อออกเสียงยากมาก เลยจำไม่ได้ ทั้งสองคนบอกว่าเจอกันจากอินเตอร์เน็ต ผมได้ข้อคิดอะไรหลายๆอย่างจากพี่เสื้อเหลืองมาก
“ต่อให้อุปกรณ์ดีอย่างไร เทคนิคดีแค่ไหน จะมีประโยชน์อะไรถ้าไม่มีโอกาสได้กดชัตเตอร์” ไมโก้แปลให้ฟังอีกที พี่เสื้อเหลืองมักจะเล่าประสบการณ์ในทริปต่างประเทศสนุกๆให้ฟังในตอนกินข้าวเสมอครับ
สุดท้ายผมขอบคุณตัวผมเองนี่แหละครับ ขอบคุณที่ผมมีความอดทนที่ยืนกลางอากาศหนาว -20 เพื่อชมวิวและถ่ายรูป ขอบคุณที่อดทนเดินทางมาหาประสบการณ์คนเดียว
แล้วพบกันโอกาสหน้านะครับ ขอปิดด้วยรูปพาโนรามาใบนี้ละกันครับ
ขอบคุณครับ